การแทรกสอดของเสียง
สำหรับคลื่นเสียงจะแบ่งเป็นสามส่วน ดังนี้
.การแทรกสอดจากแหล่งกำเนิดอาพันธ์
(Coherent Source)
ตำแหน่งที่แทรกสอดแบบเสริมกัน จะเป็นตำแหน่งปฏิบัพ จะได้ยินเสียงดังที่สุด
และตำแหน่งที่แทรกสอดแบบหักล้างกัน จะเป็นตำแหน่งบัพ
จะได้ยินเสียงเบที่สุดหรือไม่ได้ยินเลยก็ได้
Credit: ideal physic
จากรูป ตำแหน่งตรงกลางเป็นแนวปฏิบัพ
จึงสรุปสูตรได้ว่า
เมื่อ P เป็นปฏิบัพ
เมื่อ P เป็นบัพ
คลื่นนิ่งของเสียง
เกิดจากคลื่นสองขบวนมีความถี่เท่ากัน
มารวมกับแบบเสริมและแบบหักล้างกัน ดังรูป
Credit: ideal physic
** เสียงดัง
เป็นปฏิบัพของความดันแต่เป็นบัพของการกระจัด
เสียงค่อย เป็นบัพของความดันแต่เป็นปฏิบัพของการกระจัด
2. ปรากฏการณ์บีตส์ (Beat)
เป็นปรากฎการณ์จากการแทรกสอดของคลื่นเสียง 2 ขบวน ที่มีความถี่แตกต่างกันเล็กน้อย และเคลื่อนที่อยู่ในแนวเดียวกันเกิดการรวมคลื่นเป็นคลื่นเดียวกัน
ทำให้แอมพลิจูดเปลี่ยนไป เป็นผลทำให้เกิดเสียงดังเสียงค่อยสลับกันไปด้วยความถี่ค่าหนึ่ง
สรุป
จากการรวมกันของคลื่นซึ่งมีความถี่ต่างกัน ได้ว่า
1.จังหวะของเสียงที่ได้ยินคือ
ค่าความถี่บีตส์
2.ความถี่ของเสียงที่ได้ยิน
3.ปรากฏการณ์การสั่นพ้อง (Resonance)
เมื่อเสียงที่ออกจากแหล่งกำเนิดตรงกับความที่ธรรมชาติของการสั่นของอนุภาคอากาศพอดี
อนุภาคของอากาศจะสั่นแรงสุด และได้ยินเสียงดังที่สุด ปรากฏการณืนี้เรียกว่า การสั่นพ้องของเสียง
หรือ การกำทอน หรือ อภินาท หรือ เรโซแนนซ์
หลอดปลายเปิด เป็นหลอดปลายเปิดทั้งสองข้าง
สรุปได้ว่า ความถี่ที่ทำให้เกิดการกำทอนของหลอดปลายเปิดมีได้ทุกฮาโมนิค
จึงได้สมการออกมาว่า
หลอดปลายปิด เปิดหลอดปิดหนึ่งข้าง เปิดหนึ่งข้าง
สรุปได้ว่า ความถี่ที่ทำให้เกิดการกำทอนของหลอดปลายปิด
มีได้เฉพาะฮาโมนิคที่เป็นเลขคี่ จึงได้สมการออกมาว่า